สวัสดีชาวโลก – -‘

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | 1 ความเห็น

นิทานชาดก

 

นิทานชาดก

นิทาน แปลว่า เหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล, มูลเค้า, เรื่องเดิม, สมุฏฐาน

  ชาดก แปลว่า ประวัติการทำความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีมาในชาติก่อน

นิทานชาดก มิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสอนคุณธรรม แต่นิทานชาดก คือ เรื่องในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่าง ๆ  บางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหลังของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟัง  บางครั้งก็เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

ผู้ที่อ่านหรือฟังนิทานชาดก จึงควรอ่านหรือฟังด้วยความพิจารณา และนำหลักธรรมที่ได้ไปใช้เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น   ส่วนความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้น   ให้ถือว่าเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น  จึงจะนับว่าได้ประโยชน์จากนิทานชาดก ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ให้แล้วอย่างแท้จริง 

เรื่อง เสรีวาณิช

       กาลครั้งหนึ่งในอดีตกาลย้อนไปเมื่อ ๕ กัป จากภัทรกัป มีพ่อค้าเร่อยู่สองคน อาศัยอยู่ใน เมืองเสรีวะ มีชื่อตรงกันกับชื่อ เมืองที่อาศัย คือ เสรีวะ วันหนึ่งพ่อค้าทั้งสองได้นั่งเรือข้ามแม่น้ำเพื่อนำสินค้าไปขายยังเมืองอัฐปุระแม้ว่าพ่อค้าทั้งสองจะมีชื่อเหมือนกันแต่ทั้งสองมีนิสัยใจคอที่แตกต่างกันมาก เพราะอีกคนมีนิสัยเป็นคนพาล  ส่วนอีกคนมีนิสัยเป็นบัณทิต  ที่เมืองอัฐปุระเป็นเมืองของเศรษฐีตระกูลหนึ่ง แต่ต่อมา ตระกูลได้เกิดการฉิบหายเหลือแต่เพียงยายหลานสองคนเท่านั้น อยู่มาว้นหนึ่งพ่อค้าที่มีนิสัยพาลได้เดินเข้ามาย้ง หมู่บ้านของเมืองอัฐปุระ เพื่อนำเครื่องประดับมาขายในขณะนั้นเองก็มีหญิงสาวชาวบ้านเดินผ่านมาต่างพากัน รุมล้อมเพื่อดูสินค้า และหนึ่งในหญิงสาวชาวบ้านนั้นก็คือหลานสาวที่เป็นทายาทตระกูลเศรษฐีนั่นเอง เมื่อหลานสาวทายาทตระกูลเศรษฐี ได้เห็นเครื่องประดับจึงนึกอยากได้ เลยวิ่งกลับไปยังบ้านของตน เพื่อขอ เงินกับยายมาซื้อเครื่องประดับ แต่ยายกลับบอกปฏิเสธไปเพราะว่าเงินนั้นได้ร่อยหรอลงทุกทีเมื่อยายบอกกับหลานสาว ได้ยินยายบอกเช่นนั้น จึงได้วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อหาของมาแลกเครื่องประดับ ในที่สุดก็พบถาดเก่าๆ อยู่ใบ หนึ่ง แต่สองยายหลานหารู้ไม่ ว่าถาดใบนั้นคือถาดทองคำขณะนั้นเองเป็นจังหวะพ่อค้าที่เป็นคนพาลได้เดินทางผ่านมายังบ้านของสองยายหลาน ทั้งสองคนจึงนำ เอาถาด มาแลกเครื่องประดับกับพ่อค้าเมื่อพ่อค้ารับถาดมาแล้ว จึงพิจารณาดู ก็ทราบว่าเป็นถาดทองคำ จึงได้คิดอุบายเพื่อที่จะแลกถาดทองคำกับสินค้าของตน ในราคาถูกเมื่อพ่อค้าคนพาลบอกว่าถาดใบนั้นไม่สามารถแลกสินค้าได้ เพราะเป็นถาดเก่าไม่มีราคา แต่จริงๆ แล้วก็คือถาดทองคำสองวันต่อมาพ่อค้าที่เป็นบัณฑิตได้เดินทางผ่านมายังบ้านของสองยายหลาน หลานสาวจึงได้อ้อนวอนยายให้ซื้อสินค้าจากพ่อค้าบัณฑิตนั้นแต่ยายเกิดความลังเลว่าจะซื้อดีไหมเพราะเงินไม่มี ออกจากถาดใบเก่าใบนั้นใบเดียวและเกรงว่าจะเอามาแลกสินค้าไม่ได้ แต่หลานสาวก็รบเร้าอ้อนวอน เพราะเห็นว่าพ่อค้าที่เป็นบัณทิต นั้นดูแล้วเป็นคนใจดีไม่เหมือนพ่อค้าคนก่อนด้วยความรักหลานสาว ยายจึงตามใจจึงได้ตัดสินใจทำตามหลานสาวบอกสองยายหลานจึงได้เรียกพ่อค้าที่เป็นบัณฑิต เพื่อจำนำถาดมาแลกสินค้า และแล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ โปรดติดตามตอนต่อไป

     

โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | 1 ความเห็น

ต่อตอนที่ 2

ต่อจากตอนที่1 เมื่อพ่อค้าที่เป็นบัณฑิตหยิบถาดขึ้นมาดู แล้วพิจารณาจึงรู้ว่า เป็นถาดทองคำมีมูลค่ามหาศาล ไม่ใช่ถาดที่ไม่มีมูลค่าตามคำ บอกของพ่อค้าที่เป็นคนพาลแต่อย่างใด พ่อค้าที่เป็น บัณฑิตจึงได้บอกกับสองยายหลานตามความเป็นจริงเมื่อสองยายหลานได้ยินจากคำบอกเล่าของพ่อค้าที่เป็นบัณฑิตว่า ถาดของตนเป็นถาดทองคำที่มีมูลค่าจึงสร้างความแปลกใจเมื่อได้รับการยืนยันจากพ่อค้าที่เป็นบัณฑิตว่าถาดของตนเป็นถาดทองคำ จึงได้เสนอกับพ่อค้าว่าจะให้ราคาเท่าไหร่ พ่อค้าจึงขอแลกกับสินค้าของตนทั้งหมดซึ่งเป็นเงินจำนวนมากส่วนตัวเองเหลือแค่เงินค่าข้ามฟากเท่านั้น หลังจากนั้นเวลาผ่านไปได้ไม่นาน พ่อค้าที่เป็นคนพาลได้เดินกลับมาหาสองยายหลานที่บ้านเพื่อที่จะมาเอาถาดทองคำโดยจะให้ราคาถูกจึงไปเคาะประตูเรียก เมื่อยายได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเปิดออกมาก็พบพ่อค้าที่เป็นคนพาล จึงได้ทำการต่อว่าและเล่าความจริงให้พ่อค้าที่เป็นคนพาลทราบว่า ตนได้ขายใหักับพ่อคัาที่เป็นบัณฑิตไปแล้วด้วยราคาที่สูงมากเมื่อพ่อค้าที่เป็นคนพาลทราบดังนั้นถึงกับเป็นลมล้มลงจนหมดสติเมื่อพ่อค้าที่เป็นคนพาลฟื้นคืนสติจึงได้เสนอทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อแลกกับถาดทองคำใบนั้นโดยเอาทรัพย์สินของตนที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาอย่างคนเสียสติ ในขณะนั้นเองได้เหลือบไปเห็นตราช่าง จึงได้หยิบขึ้น มาแล้ววิ่งไปยังท่าเรือณ ท่าเรือข้ามฟาก พ่อค้าที่ี่เป็นบัณฑิตได้นั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง ขณะนั้นเอง พ่อค้าที่เป็นคนพาลได้วิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิดเมื่อมาถึงท่าเรือ พ่อค้าที่เป็นคนพาลได้ตะโกนเรียกให้เรือหยุดด้วยความเคียดแค้น แต่ พ่อค้าที่เป็นบัณฑิต เห็นท่า ไม่ดีจึงได้บอกเจ้าของเรือ ให้รีบนำตนไปส่งอีกฟากหนึ่งโดยเร็วเมื่อเห็นเรือไม่หวนกลับมารับตน จึงเกิดความอาฆาต พยาบาทและได้ก้มลงเอามือกำเม็ดทรายไว้ แล้วจึงตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง เพื่อขอจองเวรกับพ่อค้าที่เป็นบัณฑิต เท่ากับจำนวนเม็ดทรายในกำมือและนี่คือปฐมเหตุการจองเวรของพระเทวทัตที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเองหลังจากพ่อค้าที่เป็นคนพาลได้พูดจบ ก็ขาดใจตายในเวลาต่อมาเมื่อพ่อค้าที่เป็นคนพาลได้สิ้นชีวิตแล้ววิญญาณก็ดำดิ่งสู่อเวจีมหานรก เพราะมีจิตที่เต็มไปด้วยความอาฆาตและพยาบาทจึงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายกัปส่วนพ่อค้าที่เป็นบัณฑิต หลังจากที่ทำการค้าแล้วก็นำเงินมาทำบุญ รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา ในที่สุดจึงได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน
จบบริบูรณ์
Copyright © Dhammakaya Foundation. All rights reserved.


โพสท์ใน ไม่มีหมวดหมู่ | ใส่ความเห็น